อานาปานสติ In a Nutshell
สรุปความจากการเข้าร่วมปฏิบัติธรรมอบรมอานาปานสติ
ณ วัดสุนันทวนาราม จ. กาญจนบุรี
(นำปฏิบัติโดยพระอาจารย์มหาฟูกิจ
ชุติปัญโญ)
ตุลาคม ๒๕๖๑
-------------------------------------------------------------------------------------
ถิรสัญญา
“มีสติ ประคับประคองจิต ให้กลับมาระลึกรู้
ลมหายใจที่ปลายจมูก”
“มีสติ ประคับประคองจิต ให้กลับมาระลึกรู้
เท้าที่สัมผัสกับพื้น”
ประเด็นที่สรุปความ
๒. ปรับพื้นฐานความรู้ทางธรรม
๓. ความหมายของสัญญลักษณ์ที่ใช้ในการอธิบายภาพ
๔. เริ่มต้นที่ “สติ” กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
๕. การเข้าสู่สมาธิ
๖. การเกิดปัญญา
๗. พระสูตรสำคัญที่ส่งเสริมการปฏิบัติ
๘. อ้างอิง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อานาปานสติ In a Nutshell
อะระหัง
สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
สวากขาโต
ภะคะตาธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
สุปะฏิปันโน
ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
ก่อนอื่นต้องขอกราบ กราบ กราบ
ขอบพระคุณท่านพระอาจารย์มหาฟูกิจ ชุติปัญโญ เป็นอย่างสูงยิ่ง ในการถ่ายทอดความรู้เรื่องอานาปานสติ
ในการอบรมปฏิบัติธรรม ผู้เขียนถือว่าได้รับความรู้ ความกระจ่างเป็นอย่างมากในแนวทางปฏิบัติอานาปานสติ
ทั้งในทางทฤษฎีต้นเรื่อง ที่ไปที่มา และการฝึกปฏิบัติการทดลอง (Laboratory)
แบบเห็นผลเร็วทันที โดยท่านพระอาจารย์ ได้วางหลักการสำหรับการอบรมปฏิบัติธรรมอานาปานสติไว้
๓ ประการ ดังนี้
๑. ต้องสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ คือมีสติระลึกรู้ในชีวิตประจำวัน
ไม่ได้จำเป็นต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาแต่ให้ระลึกรู้ทุกครั้งเมื่อเผลอ หลักการข้อนี้
ผู้เขียนเข้าใจว่าท่านพระอาจารย์ เน้นถึงประสิทธิผล (effectiveness) ของหลักสูตรการอบรมปฏิบัติธรรมอานาปานสติ จากการเข้าร่วมอบรมฯ
หลายครั้งมีผู้เข้าอบรมหลายท่าน สามารถนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้จริง เช่น
ในเรื่องของการมีสติกลับมาระลึกรู้ลมหายใจ การเดินแบบมีสติระลึกรู้ถึงเท้าที่สัมผัสพื้น
ถือเป็นตัวชี้วัด (KPI: Key Performance Indicator) ที่ชัดเจนมาก
๒. ต้องมีประสิทธิภาพ มีการทดสอบ เห็นผล
แม่นยำ หลักการข้อนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่าท่านพระอาจารย์เน้นถึงเรื่องของประสิทธิภาพ
(efficiency) ในช่วงระยะเวลาที่ใช้การอบรมปฏิบัติธรรม
ผู้เขียนเห็นประเด็นที่เด่นชัดในเรื่องของ
๒.๑
การบริหารจัดการเวลา ท่านพระอาจารย์ได้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า โพโมโดโร (Pomodoro)
ซึ่งเป็นเทคนิคในการบริหารเวลาที่เยี่ยมยอด
มีการแบ่งคาบเวลาเป็นส่วนๆ (section) ที่ชัดเจนคือ
ในช่วงเช้า (๙.๓๐ - ๑๒.๐๐ น.) เป็นเวลาที่เรียนภาคทฤษฎีอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง
ไม่มีพัก ช่วงบ่ายเป็น section ย่อยๆ ช่วงละ ๒๕ นาที พัก ๕
นาที ๓ ช่วง สำหรับการสวดมนต์ การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิ เรียกว่า ๑ เซ็ต
เสร็จแล้วพัก ๓๐ นาที เริ่มเซ็ตใหม่ สวด เดิน นั่ง จนถึงเวลาพักช่วงเย็น
ก่อนกลับมารวมเพื่อเดินจงกรม และทำวัตรเย็น
ในเวลาที่สอดคล้องกับตารางปกติของทางวัดด้วย โดยรวมแล้วตลอด ๗ วัน
นับจำนวนชั่วโมงในการสวด เดิน นั่ง ก็ไม่น้อยเลย ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก
โดยนับจำนวนชั่วโมงที่เรียนปริยัติรวมได้ไม่น้อยกว่า ๒๐ ชั่วโมง เรียนปฏิบัติ
ในการสวดมนต์รวมไม่น้อยกว่า ๙ ชั่วโมง เดินจงกรมไม่น้อยกว่า ๙ ชั่วโมง
และการนั่งสมาธิไม่น้อย ๙ ชั่วโมง หรือคิดแบบเฉลี่ยแล้วเรียนกันวันละไม่น้อยกว่า ๖
ชั่วโมง
๒.๒
การฝึกปฏิบัติการแบบเห็นผลเร็วทันที ในช่วงของการเรียนช่วงเช้า เช่น
การทำกิจกรรมเรื่องการสังเกต-การคาดคะเน, การเผลอคิด-การตั้งใจคิด
การดูตัวเองแบบวิปัสสนา (ถึงแม้ว่าจะเป็นการฝึกแบบสั้นๆ แต่ก็ตื่นเต้น
เพราะคิดไม่ถึงว่ามาปฏิบัติธรรมอานาปานสติ แล้วจะได้เรียนและปฏิบัติวิปัสสนาไปด้วย
เนื่องจากไปคิดเองว่า วิปัสสนานั้นเป็นการปฏิบัติธรรมแบบขั้นสูงต้องเป็นผู้ปฏิบัติที่มีความรู้ขั้นสูงกว่าผู้มาเริ่มใหม่)
๒.๓
การอบรมในช่วงเช้าเป็นแบบ Interactive ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ท่านพระอาจารย์ จะสอบถาม
ทวนถาม และทบทวนสิ่งที่ได้สอนไปแล้ว เพื่อให้มั่นใจผู้เข้ารับการอบรมมีความเข้าใจในเนื้อหาที่สอนไปแล้ว
และเน้นย้ำ นำปฏิบัติ ในส่วนที่สำคัญ
โดยใช้วิธีสอนและปฏิบัติตามที่ท่านได้เคยมีประสบการณ์มาแล้ว
แบบนี้ผู้เขียนยกนิ้วโป้งให้เลย ไม่มีใครมีโอกาสได้ง่วงนอนเลย ต้อง alert หรือตื่นตัวอยู่ ตลอดเวลา เพราะอาจโดยเรียกออกไปหน้าห้องได้
นอกจากนี้หากใครมีอาการที่อาจจะหลุดไปจากบทเรียนและความสนใจที่พระอาจารย์สอน
พระอาจารย์จะเห็นได้ พร้อมทั้งติดตามอาการของผู้นั้น
เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงหรือเรียกว่าปรับทัศนคติใหม่
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถกลับมาอยู่ในร่องรอยที่ถูกต้อง
๒.๔
การรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้ารับการอบรม
หลังจากสิ้นสุดการอบรมปฏิบัติแบบวันต่อวัน ทำให้ท่านพระอาจารย์มีข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
เพื่อติดตามประเมินว่า ส่วนที่ท่านพระอาจารย์นำ Input คือบทเรียนและผู้เข้ารับการอบรม เข้าสู่กระบวนการอบรมปฏิบัติธรรมนั้น
ได้ถูกประมวลหรือ Process แล้วได้ Output ที่ถูกต้องหรือไม่ โดยสังเกตจากการเปลี่ยนของผู้เข้ารับการอบรม
และรับฟังสอบทานความเห็น เพื่อเป็นข้อมูลย้อนกลับในทันที
ถือว่ามีการจัดอบรมปฏิบัติอย่างเป็นระบบจริงๆ (มี Input, Process, Output,
Feedback และ Environment ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่สัปปายะจริงๆ
ทั้ง ๗ องค์ประกอบ ซึ่งหมายถึงสิ่งที่สบาย, สภาพเอื้อ,
สิ่งที่เกื้อกูล, สิ่งที่เอื้อต่อการอยู่ดีและการที่จะพัฒนาชีวิต,
สิ่งที่เหมาะกัน อันเกื้อหนุนในการเจริญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น
ไม่ เสื่อมถอย มีองค์ประกอบดังนี้ ๑) อาวาสสัปปายะ (อยู่) – ที่อยู่อันเหมาะ เช่น
ปลอดภัย ไม่พลุกพล่านจอแจ ๒) โคจรสัปปายะ (หา) - แหล่งอาหารอํานวย
ที่เที่ยวบิณฑบาตที่เหมาะดี เช่น มีหมู่บ้านหรือชุมชนที่ มีอาหารบริบูรณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป
๓) ภัสสสัปปายะ (คุย) - การพูดคุยที่เหมาะกัน เช่น พูดคุยเล่าขานกันแต่ในกถาวัตถุ
10 และพูดแต่ พอประมาณ ข่าวสารและสื่อสารที่เอื้อปัญญา ๔) ปุคคลสัปปายะ (คน) - บุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน
เช่น ไม่มีคนร้าย แต่มีท่านผู้ทรงคุณธรรม ทรง ภูมิปัญญาเป็นที่ปรึกษาเหมาะใจ ๕) โภชนสัปปายะ
(กิน) - อาหารที่เหมาะกัน เช่น ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ ฉันไม่ยาก ๖) อุตุสัปปายะ
(แอร์) - ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะ เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เป็นต้น
๗) อิริยาปถสัปปายะ (อิริ) - อิริยาบถที่เหมาะกัน เช่น บางคนถูกกับจงกรม
บางคนถูกกับนั่ง ตลอด
๓.
เป็นเหตุเป็นผล ท่านพระอาจารย์
เน้นในเรื่องของความเป็นเหตุเป็นผลที่ยอมรับได้ เชื่อถือได้
แบบเป็นหลักการที่ถูกต้อง ผู้เขียนเข้าใจว่าคำสอนของท่านพระอาจารย์นั้น
เป็นคำสอนที่มีหลักการและเหตุผล สืบค้นย้อนกลับ อธิบายที่มาที่ไปได้อย่างชัดแจ้ง
มีเหตุผล เป็นเหตุเป็นผล ผู้เขียนอยากจะใช้คำว่าเป็นการสอนในภาคเช้าเป็นส่วนของทฤษฎีหรือปริยัติ
ที่อยู่พื้นฐานของหลักการและเหตุผล (Rational) อย่างเยี่ยมยอด
มีข้อมูลสนับสนุนในการอธิบาย ซึ่งเป็นกระบวนการอย่างที่เรียกกันแบบโลกๆ
ว่าเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ ตัวอย่างเช่น
๓.๑
ในการเริ่มต้นของการนำเข้าสู่บทเรียนที่กล่าวถึงว่าเราจะต้องศึกษาอะไรบ้าง
ท่านพระอาจารย์ ก็อ้างอิงไปถึงการจำแนกแยกแยะเรื่องที่ต้องศึกษาตามที่ท่านสันติกโร
ได้แยกแยะไว้ว่าเป็นเรื่องของ (๑) พระสูตรและอรรถกถา (๒) เรื่องของเทคนิค
ตามคำของครูบาอาจารย์ และ (๓) เป็นของสภาวะที่ปรากฎ และได้นำกรรมฐาน ๕ อย่างที่นิยม
หรือทราบกันโดยทั่วไปในปัจจุบัน
มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกรอบการจำแนกตามที่ท่านสันติกโรได้จำแนกไว้
ในเรื่องนี้ได้ทำให้ผู้เขียนเข้าใจในเรื่องของความแตกต่างและความเหมือนของ
อานาปานสติ กับ กรรมฐานแบบอื่นๆ ที่ทราบมา ว่าอานาปานสตินั้น มีพระสูตรรองรับ คือ
อานาปานสติสูตร พร้อมทั้งมีเทคนิคในการปฏิบัติ เช่น การออกไปสู่ป่า โคนไม้
เรือนว่าง การตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น เป็นต้น
รวมทั้งมีส่วนของสภาวะที่ปรากฎด้วยเช่น กายสังขารรำงับ (ขั้นที่ ๔) การเกิดปิติ
(ขั้น ๕) เป็นต้น
๓.๒
วิเคราะห์รากศัพท์คำบาลีที่สำคัญในการฝึกปฏิบัติธรรมอานาปานสติ เช่น
คำว่า "อานาปานสติ" "สติ" "สมาธิ"
"จงกรม" "สัมปชัญญะ" เป็นต้น
ในส่วนนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
สำหรับผู้เขียนทำให้ได้มีความเข้าใจถึงอรรถะของคำได้อย่างลึกซึ้ง มากกว่าที่จะทราบเฉพาะคำแปลศัพท์คำบาลี
หรือเข้าใจไปตามสัญญาเดิมๆ ที่ทราบกันมา
นอกจากนี้ยังทำให้ได้ปรับความคิดเห็นให้เป็นแบบ สัมมาทิฎฐิ ด้วย การวิเคราะห์รากศัพท์ภาษาบาลีนั้นผู้เขียนเข้าใจว่าหาอ่าน
หาฟังได้ยากยิ่งนัก ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย ต้องเป็นผู้รู้จริงๆ
จึงจะวิเคราะห์ได้อย่างชัดแจ้ง ในส่วนนี้ผู้เขียนได้ประโยชน์มากมายในการปรับใช้ทำความเข้าใจกับการอ่านคำบาลีอื่นๆ
ด้วย เป็นที่น่าสนใจไปเรียนรู้ภาษาบาลีพื้นฐานจริงๆ
๓.๓ การอ้างอิงคำสอนของครูอาจารย์ในส่วนเนื้อหาที่สำคัญ ๆ ในการอบรมปฏิบัติธรรม ช่วงหลังทำวัตรเช้า ด้วยการอ่านจากตามตำรางานวิจัย "อานาปานสติภาวนา ลำดับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า" (เรื่องอานาปานสติลัดสั้น) ฟังเสียงคำสอนจากพระอาจารย์ เรื่องการภาวนา บทสาธยายมนต์ จากหนังสือสูตรหายใจ ที่ใช้สวดสาธยายกันในช่วงสวดมนต์ ตามพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอานาปานสติ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก
*** ข้อสรุปข้างต้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนพยายามวิเคราะห์ความรู้ที่เป็นสัญญาและพยายามทำให้เป็นปัญญาด้วย
ที่ได้รับจากการเข้าอบรมปฏิบัติธรรมอานาปานสติกับท่านพระอาจารย์ โดยวิเคราะห์ไปตามหลักการที่ท่านพระอาจารย์
วางไว้ให้เป็นหลักการของการอบรมหลักสูตรนี้ โดยที่ท่านพระอาจารย์ พยายามที่จะชี้ให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้
ได้แก่
(๑) คำสอน ของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อยู่ในรูปแบบของพระสูตร
(อานาปานสติสูตรและพระสูตรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สุตตสูตร อรัญญสูตร กถาสูตร
พระสูตรจากหนังสือสูตรหายใจ) ในฐานะหน้าที่ของพระสงฆ์
(๒) คำสอนของครูบาอาจารย์ของท่านพระอาจารย์ ที่ท่านได้กล่าวนามไว้
เพื่อเป็นการบูชาคุณของพระอาจารย์เหล่านั้น เช่น รายนาม พระอาจารย์ปราโมทย์
ปราโมชโช พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก พระอาจารย์มหาธิติพงศ์ อฺุตตมปัญโญ (สอนบาลี)
พระอาจารย์สันติ อุตตมปุญโญ (สอนพระอภิธรรม) พระอาจารย์ครรชิต อกัญจโน
สอนเรื่องการเผลอคิด หนังสือวิทยานิพนธ์เรื่องอานาปานสติ ("อานาปานสติภาวนา
ลำดับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า" สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์
อุปสมมหาเถระ ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) ตรวจชําระ พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์
รวบรวมและเรียบเรียง") ท่านพุทธทาส หลวงปู่ชา
หลวงพ่อคำเขียน เป็นต้น
(๓) ประสบการณ์ของท่านพระอาจารย์ เองในช่วงระยะเวลาที่ครองเพศบรรพชิตเป็นสมณะ
ในช่วง ๙ ปีที่ผ่านมา ทำให้ท่านสามารถทราบถึงสภาวะและวิธีการปฏิบัติธรรมอานาปานสติ
รวมทั้งการจัดการกับปัญหาหรือข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นได้
ซึ่งถือเป็นการให้ความกระจ่างแก่ผู้เข้าร่วมการอบรมเป็นอย่างมาก
เพราะทุกทุกอย่างเป็นของจริง เกิดขึ้นจริง เป็นการรู้มากกว่าการคิด
นอกจากนี้ผู้เขียนขอเติมว่าประสบการณ์ และความเป็นท่าน ความเป็นผู้ออกแบบและผู้สร้างหรือความเป็นสถาปนิก
(Architect) ทำให้ท่านออกแบบและสร้างหลักสูตรการปฏิบัติธรรมอานาปานสติ
ที่ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าถึงคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้อย่างแจ่มแจ้ง ปราศจากข้อสงสัย
รวมทั้งมีแนวทางการนำไปปฏิบัติให้เกิดมรรคผลต่อไป ส่วนการที่แต่ละบุคคลนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลที่แตกต่างกัน
มีข้อสงสัย มีคำถามเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องของผลการปฏิบัติที่เป็นแบบเฉพาะตน
เป็นปัจจัตตัง คือ "ไปเฉพาะ"
"รู้เฉพาะ" "ถึงเฉพาะ" และ "บรรลุเฉพาะ"
ซึ่งท่านพอจ. ก็ได้เมตตาไขความกระจ่างให้ด้วยในระหว่างการอบรมปฏิบัติ
ในส่วนของประเด็นที่ (๓) นี้เปรียบไปแล้วก็คงต้องถือว่าเป็น "สภาวะ"
เฉพาะของท่านพระอาจารย์ ที่เมตตานำมาถ่ายทอดต่อให้ลูกศิษย์ได้ทราบ
ส่วนตัวผู้เขียนก็เริ่มรู้ทางที่จะ "ไปเฉพาะ" "รู้เฉพาะ"
"ถึงเฉพาะ" และ "บรรลุเฉพาะ" ส่วนจะใช้เวลาแค่ไหน
ก็มุ่งมั่นมีความเพียรในการสร้างเหตุที่ดี ถูกต้อง ไว้เป็นที่ตั้ง
จากการประมวลแนวคิดของท่านพระอาจารย์
ที่จัดให้มีการอบรมหลักสูตรแบบ ๗ วัน และหลักสูตร แบบ ๓ วันนี้ เพียงแบบละ ๓ ครั้ง
ใน ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ นี้ ท่านพระอาจารย์ได้ตั้งใจ ทุ่มเท สั่งสอนลูกศิษย์แบบให้หมด
บอกหมด ทำให้ดูหมด เพื่อให้ลูกศิษย์ได้รับความรู้อย่างเต็มที่
สามารถนำไปปฏิบัติได้เอง โดยที่ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้ คอยบอก
คอยกำกับอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่อยู่ในระหว่างการอบรม
เปรียบเหมือนว่าลูกศิษย์ต้องไปกระโดดลงคลอง ลอยคอ และว่ายน้ำ พยุงตัว เอาเองให้ได้
โดยที่ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์คอยกำกับอยู่อีก
พอจ.พูดถึงการไปโดดลงคลองและว่ายน้ำเอง ทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงพระสูตร
(ปฐมทารุกขันโธปมสูตร) ที่มีการอุปมาว่าด้วยขอนไม้ลอยในแม่น้ำคงคา
ซึ่งมีสภาพราบลุ่มน้ำจะไหลลงไปสู่มหาสมุทรในที่สุด
หากมีขอนไม้ลอยอยู่ในแม่น้ำคงคานั้น และขอนไม้นั้นไม่ติดฝั่งนี้ (อายตนะภายใน ๖)
ไม่ติดฝั่งโน้น (อายตนะภายนอก ๖) ไม่จมลงในท่ามกลาง (เพลิดเพลิน นันทิราคะ)
ไม่เกยตื้น (สำคัญตนว่าบรรลุแล้ว) ไม่ถูกมนุษย์จับเอาไว้ (ผูกพันกับบุคคลอื่น)
ไม่ถูกอมนุษย์จับเอาไว้ (ติดอยู่ในการปฏิบัติเป็นเทวดา พรหม)
ไม่ถูกเกลียวน้ำวนดูดเอาไว้ (กามคุณ ๕) และไม่เน่าภายใน (ไม่มีศีล)
ขอนไม้นั้นก็ลอยไปถึงมหาสมุทรได้ในที่สุด ซึ่งก็คือนิพพานนั่นเอง
ผู้เขียนจำใส่ใจไว้ว่า
เมื่อโดดลงคลองแล้วก็คงพยุงตัวให้ลอยได้ไว้ก่อน
และปฏิบัติให้จนลอยไปถึงมหาสมุทรให้ได้โดยไม่ไปติดอยู่ด่านต่างๆ ตามที่กล่าวมา
วันนึงต้องถึงซึ่งนิพพานให้ได้ สาธุ
*** ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ท่านพระอาจารย์ ได้ใช้เรื่องของปัจจัยในการเรียนรู้ ๔ อย่าง คือ ครู ผู้เรียน กัลยาณมิตร และ เวลา/ประสบการณ์ ส่วนละ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ส่วนที่พระอาจารย์สอนนั้นจะให้ผลได้เต็มที่เพียงแค่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้เรียน กัลยาณมิตร และเวลา/ประสบการณ์ อีก ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนเองเต็มที่ในการรับอาจจะได้มาอีก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เป็น ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็ยังต้องทำเวลา สะสมประสบการณ์ (make time ไม่ใช่หาเวลา) ในการปฏิบัติ และคบหาเพื่อนกัลยาณมิตร เพื่อเพิ่มพูนให้ยิ่งขึ้น ไปให้ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ได้ ท่านพระอาจารย์บอกว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญธรรมะที่ลงมือปฏิบัติแล้วทำให้เท่าเดิม" นั่นหมายความว่า เราจะต้องลงมือทำให้ยิ่ง ในส่วนของเวลา/ประสบการณ์ และการมีกัลยาณมิตร ที่จะสามารถเติมเต็มให้ผลของการปฏิบัติยิ่งขึ้นได้
ตั้งชื่อหัวเรื่องไว้ว่าเป็น อานานปานสติ
In a Nutshell หรือ อานาปานสติ ในแบบอธิบายให้ได้ใจความอย่างสั้นๆ
(ในเปลือกถั่ว) แต่พูดถึงความนำเสียยาว
ก็เพื่อทำความเข้าใจในที่มาที่ไปของการเข้ามาอบรมปฏิบัติธรรมอานาปาสติ
และความรู้สึกถึงสิ่งที่ได้รับจากความเมตตาของท่านพระอาจารย์ ในฐานะครู
ที่มีความตั้งใจสูงมาก ในการถ่ายทอดความรู้ที่เป็น"ของจริง" ที่สัมผัสได้จริง ให้กับลูกศิษย์ ในการอธิบายความการปฏิบัติธรรมตามแนว
"อานาปานสติ" อย่างสั้นๆ และมีสาระสำคัญที่ครบถ้วนนั้น
(แบบว่าแกะเปลือกถั่วแล้วได้กินถั่วมันๆ) ต้องขออาศัยภาพที่ท่านพระอาจารย์.ได้สรุปไว้เป็นภาพสุดท้ายที่ทำให้แจ้งว่า
"อานาปานสติ นั้นมี เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เป็นอย่างไร"
เพื่อแสดงให้เห็นเส้นทางหรือเป็น Road Map ในการนำพาผู้ปฏิบัติไปสู่ปลายทาง
คือวิชชาและวิมุตติ เมื่อมีวิชชานั่นหมายถึงการตัดออกจากวงจรการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร
อย่างไรก็ตามผู้เขียนตระหนักดีว่าจากเบื้องต้น ท่ามกลาง สู่ที่สุด นั้น
ในระหว่างการเดินทางของผู้ปฏิบัติยังมีอะไรอีกมายมายที่ผู้ปฏิบัติต้องเผชิญทั้งการเรียนรู้และการปฏิบัติ
ซึ่งต้องถือว่าเป็นการ ไปเฉพาะ / รู้เฉพาะ / ถึงเฉพาะ (สภาวะ)
/ บรรลุเฉพาะ
อ้างอิงภาพเขียนลายมือพระอาจารย์มหาฟูกิจ
ชุติปัญโญ ในชั้นเรียน
ปรับพื้นฐานความรู้ให้เข้าใจเหมือนกันและตรงกัน ก่อนแปลความหมายจากภาพ
๑. ความหมายของสติ
สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา จงกรม โดยให้ใช้นิยามจากอรรถของภาษาบาลี ตามที่ท่านพระอาจารย์
วิเคราะห์ให้ดู
๒.
การนั่งสมาธิจะให้ผล ๒ อย่างเสมอ คือ ความสงบและความไม่สงบ
ต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ว่ามีความไม่สงบเกิดขึ้นเสมอ
และเกิดขึ้นมากกว่าความสงบ ดังนั้นจะต้องใช้ประโยชน์จากการนั่งสมาธิให้ได้ทุกครั้ง
ต้องมีการสังเกตและศึกษา ทั้งความสงบและความไม่สงบด้วย
ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างจากการนั่งสมาธิ (ต้องพิจารณานิยามของความสงบด้วย
ว่าหมายถึงอะไรและเพื่ออะไร)
๓. จิต
ทำหน้าที่ได้ ๒ อย่าง คือ "คิด ตามวิเคราะห์ศัพท์ว่า จินเตตีติ จิตตัง"
และ "รู้ ตามวิเคราะห์ศัพท์ว่า วิชานาตีติ จิตตัง" โดยทำหน้าที่ได้ทีละอย่าง
และจิตมีการเกิด การดับ ตลอดเวลา
๔.
การเดินจงกรมคือการก้าวเท้าและก้าวเท้า โดยอรรถของคำบาลี
เดินจงกรมเพื่อประโยชน์ในการสร้างสติคือการระลึกรู้ตัว ให้เข้มแข็ง
และสามารถทำสมาธิได้ด้วย ซึ่งการเดินจงกรมมีอานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑) อดทนต่อความเพียรในการปฏิบัติ
๒) ทนต่อการเดินทางไกล
๓) ป่วยน้อย
๔) อาหารย่อยง่าย
๕) สมาธิเกิดได้ง่ายตั้งอยู่ได้นาน
การเดินจงกรมตามที่ท่านพระอาจารย์สอนนั้น
ง่ายและสะดวกมาก นำไปใช้สำหรับการเดินในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
เพื่อเป็นบาทฐานในการสร้างและเจริญสติให้เข้มแข็ง สำหรับใช้ในการภาวนาต่อไป
และยังเป็นการปรับเปลี่ยนอิริยาบทจากการนั่งสมาธิด้วย
๕. สมาธิมี ๔ ระบบ
คือ ๑) พักจิต ๒) อิทธิฤทธิ์ ๓) สติสัมปชัญญะ ๔) ชำระกิเลส (ตามอ้างอิง ๑)
การอบรมปฏิบัติธรรมอานาปานสติในครั้งนี้ ท่านพระอาจารย์ สอนในเรื่องของ
สติสัมปชัญญะ และการชำระกิเลส ส่วน การพักจิต นั้นจะเป็นสิ่งที่ได้ตามมาเอง
๖. อานาปานสติ
มีความสำคัญและลักษณะเด่น ๗ ประการ (ตามอ้างอิง ๒ และ ๓)
๗. การสังเกต เป็น
keyword ที่สำคัญในการปฏิบัติ
และพระอาจารย์ให้ใช้คำนี้ (กิริยาการกระทำนี้) แทนคำว่า "การกำหนดรู้"
ตามตำราหรือคำสอนในส่วนของครูอาจารย์ที่พระอาจารย์นำมาอ้างอิงในระหว่างการอบรมปฏิบัติ
ซึ่ง "การสังเกต" จะมีความชัดเจนและมีน้ำหนักของกิจที่ต้องกระทำง่าย
และผ่อนคลายกว่า "การกำหนดรู้" ซึ่งจะรู้สึกว่าเป็นกิจที่เป็นจริงเป็นจัง
มีน้ำหนักที่หนักกว่า ทำให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกเกร็ง เคร่งเกินปกติไป ผู้เขียนคิดว่า “การสังเกต” นั้นเป็นการเอาตัวเราออกจากสิ่งที่สังเกต แต่
“การกำหนดรู้”
จะมีความรู้สึกว่ามีตัวเราจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดรู้นั้นด้วย
๘.
เครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญของอานาปานสติ คือ จมูก ลมหายใจ จิต การสังเกต
ส่วนการคิด ความง่วง หรือนิวรณ์อื่นๆ ก็มีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สัญญลักษณ์ที่ใช้ในภาพ
๑. จิต
แทนด้วยวงกลมสีขาว และ สีดำ เป็นส่วนที่พระอาจารย์ พยายามใช้ภาพในการอธิบายถึง
"จิต" ที่ทำหน้าที่ได้ ๒ อย่าง คือ "คิด" และ "รู้"
โดยทำหน้าที่นี้ได้ทีละอย่าง ขณะที่มีสติระลึก "รู้" จิตจะเป็นกุศล
ที่ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ และอโมหะบางขณะ (แทนด้วยวงกลมสีขาว)
แต่ในขณะที่มีการเผลอคิดไม่มีสติ จิตจะเป็นอกุศล ที่ประกอบไปด้วย
โลภะ โทสะ และโมหะ (แทนด้วยวงกลมสีดำ)
๒.
ลมหายใจเข้าและออก แทนด้วยลูกศรสีเขียวที่ปลายจมูก
การกระทบของลมหายใจที่ปลายจมูกแทนด้วยจุดกระทบสีแดงที่ปลายจมูก
๓. ความคิด
แทนด้วย ภาพก้อนเมฆ
๔. ความไม่เที่ยง
เกิด ดับ เป็นอนิจจัง แทนด้วย ลูกศรวิ่งครึ่งวงกลม ๒ อัน ประกอบกันเป็นวง
๕. สภาวะ
"รู้" แทนด้วยจุด และ
จุดที่ต่อเนื่องกันจนเป็นเส้นทางด้านขวามือ
๖.
การใช้ภาพวงกลมที่แทน "จิต" มาเรียงต่อกัน ท่านพระอาจารย์
จำลองให้เป็นภาพคล้ายกับการเกิดวิถีจิต (ตามหลักของพระอภิธรรม
โดยที่ไม่มีรายละเอียดประกอบมากจนเกินไป)
โดยให้เห็นเป็นภาพที่จิตได้ถูกอบรมหรือฝึกให้อยู่ในสภาพที่รู้
และสามารถนำไปพิจารณาใช้งานได้ในลักษณะของวิปัสสนา
จนถึงจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยมีการเริ่มต้นจากที่จิตมีลมหายใจเป็นอารมณ์
อานาปานสติ คือ
"การระลึกรู้ (สติ) ลมหายใจเข้า (อานะ) ลมหายใจออก (ปานะ)" หรือ
"การระลึกรู้ (สติ) ลมหายใจออก (อานะ) ลมหายใจเข้า (ปานะ)" ก็ได้
อานาปานสติเป็นกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ โดยทรงมีอานาปานสติเป็นวิหารธรรม
"อานะ"
และ "ปานะ" หมายถึง ลมหายใจเข้า (อานะ) และ
ลมหายใจออก (ปานะ) หรือ ลมหายใจออก (อานะ) ลมหายใจเข้า (ปานะ)
"สติ"
มีความหมายอย่างกว้างขวางหลายอรรถ ตามที่พอจ. วิเคราะหรากศัพท์ไว้ คือ
-
สติ ในอรรถ สรเณ "ในการระลึก" (เป็นเหตุ)
- สติ
ในอรรถ หิงสายัง "ในการเบียดเบียน (อกุศล)" (เป็นผล)
- ในอุปมาของ
(ลูก) ศร "เร็ว ตรง แหลมคม แม่นยำ บังคับทิศทางได้"
- ในอุปมาของสระ
(น้ำ) "เย็น เก็บน้ำได้ เต็มเปี่ยม สะอาด
ใช้ประโยชน์ได้"
- ในอุปมาของสระ
"ยังให้ (กุศล) เป็นไป"
- เหตุใกล้ให้เกิดสติ
คือ สัญญาที่มั่นคง (ถิรสัญญา) และเหตุใกล้ให้เกิดสัญญาที่มั่นคง คือ สติ
อานาปานสติ จึงมีความหมายได้หลายอรรถ ตามอานุภาพของความหมายของสติ ดังนี้
๑) การระลึกรู้
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก (การได้ความตามอรรถนี้เป็นสมถะ) - จิตรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์
๒) การระลึกรู้
สภาวะทั้งปวง ขณะหายใจเข้า หายใจออก (การได้ความตามอรรถนี้เป็นวิปัสสนา) –
จิตรู้ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของลมหายใจเป็นอารมณ์ เป็นต้น
การวิเคราะห์ความหมายตามรากศัพท์
(ท่านพระอาจารย์ วิเคราะห์ตามอรรถของภาษาบาลี แต่ในที่นี้นำมาเสนอเฉพาะความหมายภาษาไทย)
"ภาวนา"
หมายถึง การทำให้มีขึ้น / ทำให้เกิดขึ้น
"ปฏิบัติ"
หมายถึง ไปเฉพาะ / รู้เฉพาะ / ถึงเฉพาะ (สภาวะ) / บรรลุเฉพาะ
"สมาธิ"
หมายถึง การทรงไว้ด้วยดี / ทรงไว้อย่างสม่ำเสมอ (เหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ คือ
ความสุข)
"ปัญญา"
หมายถึง รู้ชัด / รู้ทั่ว (เหตุใกล้ให้เกิดปัญญา คือ สมาธิ)
"วิญญาณ"
หมายถึง รู้แจ้ง
"สัญญา"
หมายถึง รู้พร้อม
"สัมปชัญญะ"
หมายถึง ความรู้ทั่วพร้อม เน้นการรู้ความหมายของ
"โคจรสัมปชัญญะ" คือ การโคจรของจิต และ
"อสัมโมหะสัมปชัญญะ" คือ การไม่หลงพร้อม ซึ่งจำเป็นสำหรับการภาวนา
"จงกรม"
คือ การก้าวเท้าและก้าวเท้า
"วิปัสสนา"
หมายถึง การดูการเห็น โดยแจ้ง/โดยประการต่างๆ/โดยแจ่มชัด
เริ่มต้นที่
"สติ" กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
การนั่งสมาธิ ให้นั่งคู้ขา
แบบนั่งขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายวางบนตัก ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น
แบบนี้ถือว่าน่าจะเป็นการนั่งแบบที่มั่นคง หลังตรงทำให้ลมหายใจเดินสะดวก
มีการตั้งกล่องไม้ขีดไฟตั้งบนศรีษะเพื่อให้หลังตรงด้วย
เป็นเทคนิคที่ช่วยได้มากทีเดียว กล่องไม้ขีดไฟช่วยดูแลไม่ให้ง่วงด้วย
ให้หลังตรงด้วย ง่วงไม่ได้เพราะกลัวกล่องไม้ขีดไฟตก การนั่งให้มี "สติ"
ระลึกรู้ที่ขา ที่ก้นสัมผัสพื้น ที่หลัง ไหล่ คอ แขน มือ ศรีษะ โดยรวมคือให้มี สติคือระลึกรู้
ทั่วทั้งตัวที่นั่งก่อน ในตอนเริ่มต้น ให้มีความรู้สึกที่ผ่อนคลายไม่เกร็ง
(เทียบเคียงได้ว่าอยู่ในขั้นเตรียมการณ์ตามพระสูตร)
การมีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้า - ออก
ตามที่ภาพจมูกแสดงไว้ "ให้มีสติ คือลูกศรแห่งความรู้สึกตัว ไว้ที่ปลายจมูกรับรู้ลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก" เราหายใจเข้า-ออก
อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
แต่เราอาจจะไม่เคยได้ใช้สติไประลึกรู้การกระทบของลมหายใจเข้า-ออก
กับปลายจมูกของเรา ส่วนนี้ท่านพระอาจารย์ เน้นว่า ต้องฝึกสติให้เห็นชัดเจน
โดยไม่ต้องไปบังคับลมหายใจ (ไม่ต้อง take action) ไม่ต้องแต่งลมปล่อยตามธรรมชาติ
ให้ศึกษาคือการสังเกตจากธรรมชาติ คือของจริงที่เผชิญอยู่
เพื่อให้รู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นจริง การสังเกตลมหายใจเข้า-ออก
ก็ให้ดูตั้งกระแสตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุด (เป็นงานที่ละเอียดมาก)
การหายใจก็ยังเป็นการหายใจปกติ ให้เฝ้าดูลมหายใจที่เป็นปกติ (*ลมหายใจสั้น
ลมหายใจยาว เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบลมหายใจของแต่ละคนไป*)
ในขณะที่มีสติระลึกรู้ลมหายใจที่ปลายจมูกนั้น จิตจะเป็นกุศล (จิตที่ประกอบด้วยอโลภะ
อโทสะ และอโมหะบางขณะ) แทนด้วยวงกลมสีขาว อยู่ในชั่วขณะที่เป็นสภาวะ
"รู้" (รู้ ตัวนี้คือสัมปชัญญะ) จะต้องมีการทำหรือฝึกไปเรื่อยๆ
เพื่อให้มีสติระลึกรู้ลมหายใจไปอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่จิตมีการเผลอไปคิด (ภาพก้อนเมฆ) ไม่มีสติ
จิตจะตกอยู่ในฝ่ายอกุศล ที่ประกอบไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ แทนด้วยวงกลมสีดำ
(ตามภาพวงกลมจิตแนวตั้ง) และสภาวะรู้จะขาดช่วงไปด้วย (ตามภาพสภาวะรู้ที่เป็นจุด)
ตรงนี้สำคัญมาก ในการกลับมามีสติระลึกรู้อีก ท่านพระอาจารย์ ให้ keyword สำคัญว่า "มีสติ ประคับประคองจิต
ให้กลับมาระลึกรู้ ลมหายใจที่ปลายจมูก" เพื่อให้จิตกลับมาเป็นจิตที่เป็นกุศล
นั่นคือการมีสติจะเป็นการเบียดเบียนอกุศลออกไปจากจิตเรา (ตามอรรถของสติ หิงสายัง
การเบียดเบียน) ตามภาพจิตดวงใหม่จะเป็นวงกลมสีขาว และอยู่ในสภาะที่"รู้"
อีก การเผลอคิดมีเกิดขึ้นได้เสมอ
มีลักษณะอาการที่เกิดเป็นแบบ แวบเข้ามา ไม่มีที่มาที่ไป เกิดขึ้นมาแบบเร็วๆ
แล้วก็หายไป เกิดแทรกขึ้นมาเอง บังคับไม่ได้ จะบังคับไม่ให้เกิดขึ้นก็ผิดธรรมชาติ
สิ่งที่ทำได้คือ "มีสติ ประคับประคองจิต
ให้กลับมาระลึกรู้ ลมหายใจที่ปลายจมูก" ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่มีการคิด สำคัญที่สุดคือจะรู้ว่ามีการเผลอไปคิดแล้ว ให้มีสติกลับมา
ไม่ใช่หลงไปกับความคิดจนไม่รู้สึกตัว ตรงนี้ พระอาจารย์. กล่าวอ้างอิงว่า
"หลวงพ่อคำเขียนให้นิยามการปฏิบัติธรรม ว่าคือการกลับมารู้สึกตัว"
การมีสติ ประคับประคองจิต ให้กลับมาระลึกรู้ ลมหายใจที่ปลายจมูก อยู่อย่างต่อเนื่อง จิตเป็นกุศล (วงกลมสีขาว) อย่างต่อเนื่อง เป็นสภาวะรู้อย่างต่อเนื่อง ธรรมชาติใดทรงไว้ด้วยดี ทรงไว้อย่างสม่ำเสมอ ธรรมชาตินั้นเรียกว่าสมาธิ นั่นคือ จิตที่มี "สติ" และเป็นภาวะที่ "รู้" ทรงไว้ด้วยดี ทรงไว้อย่างสม่ำเสมอ ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง นั้นคือจิตที่เป็นสมาธิ นั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นจิตที่มีคุณภาพ พร้อมที่จะนำไปใช้งานได้ (สมาธิ ในขั้นนี้เป็นไปตามระบบที่ ๓ ของประเภทสมาธิ คือ สติสัมปชัญญะ)
"การใช้สติประคับประคองจิตให้กลับมาระลึกรู้ลมหายใจ ท่านพระอาจารย์ ได้สาธิตเปรียบเทียบให้ดูเหมือนกับมือที่ประคองไมโครโฟน
(สมมุติว่าเป็นจิต) ให้ตั้งอยู่ได้ โดยที่การประคับประคองจิตให้กลับสู่อารมณ์นั้น
ก็คือ การทำวิตก วิจาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์ฌาณ
[หมายเหตุ การกำหนดให้มีสติระลึกลมหายใจที่ปลายจมูกนั้น
ไม่ใช่ที่ตำแหน่งอื่น เช่นที่ ท้อง นั้นผู้เขียนเข้าใจว่า อานาปานสติ
เป็นการระลึกรู้ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ซึ่งเราจะต้องสังเกตทั้งลมหายใจที่เข้าและออก รวมทั้งอาการที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
และอาการที่ลมหายใจปรุงแต่งกายเนื้อ ดังนั้นจึงควรที่จะเริ่มสังเกตลมหายใจตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เข้าสู่กายเนื้อ
เพื่อให้เห็นการปรุงแต่งของลมหายใจที่มีต่อกายเนื้อตั้งแต่เริ่มต้นลม กลางลม และ
ปลายลม หากเอาสติไประลึกรู้ที่ท้อง ก็จะไม่สามารถสังเกตอาการ
การปรุงแต่งของลมหายใจได้อย่างครบถ้วน]
การเข้าสู่
"สมาธิ"
การมีสมาธิ
(อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้าแล้วว่า การทำสมาธิให้ผลสองอย่างคือ สงบและไม่สงบ)
การที่จิตเข้าสู่สมาธิและจิตเข้าสู่สภาวะที่ทำให้เกิดความสงบ (สมาธิประเภทที่ ๑
คือการพักจิต) หรือเป็นสภาวะตามองค์ประกอบของฌาน หรือเรียกว่าองค์ฌาน
๕ (วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา)
ตามพระสูตรคือขั้นที่ ๔ ก็ถือว่าเป็นผลที่เป็นส่วนของสมถะภาวนา
ที่เริ่มมาจากการพิจารณาลมหายใจเป็นอารมณ์ (อารัมมณูปณิฌาน สมถกรรมฐาน) – ฟังตามเสียงจากการบันทึกของหลวงปู่ทิวา
อาภากโร ที่ท่านพระอาจารย์เมตตาเปิดให้ฟังนั้น ว่าไม่ใช่จะเกิดเป็นสมาธิระดับนี้กันได้ง่ายๆ
นะ (เป็นสมาธิ ขั้นอัปปนาสมาธิ ขั้นอุปจารสมาธิ) และหากได้พิจารณาจากพระสูตรที่ได้มีการสวดสาธยายกัน
คือบทอริยมรรคมีองค์แปดนั้น ในส่วนของสัมมาสมาธินั้น จะต้องประกอบด้วย การสงัดแล้วจากกาม
สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน (ประกอบด้วย วิตก วิจาร มีปิติ
และสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่) เข้าถึงทุติยฌาน (ไม่มีวิตก วิจาร
มีแต่ปิติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่) เข้าถึงตติยฌาน (การจางคลายแห่งปีติ
เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ อยู่เป็นปกติสุข แล้วแลอยู่)
และการเข้าถึงจตุตถฌาน (ละสุข ละทุกข์ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัส
มีแต่สติที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่) –
การเข้าสู่สมาธิจนถึงระดับฌาน ๔ นี้ ถือว่าเป็นผลของการทำสมาธิในระบบที่ ๑ และ ๒
ได้ คือการพักจิตและอิทธิฤทธิ์ แต่หากไม่ได้ผลไปถึงเรื่องของสติ
สัมปชัญญะและการชำระกิเลส ซึ่งจะต้องมียกระดับขึ้นเป็นวิปัสสนา
ในขณะที่จิตทรงไว้ด้วยดี
ทรงไว้อย่างสม่ำเสมอ อยู่ในสภาวะที่รู้อย่างต่อเนื่อง (มีสัมปชัญญะ –
โคจรสัมปชัญญะ) หรือมีสมาธิ สติก็ยังคงระลึกรู้ลมหายใจที่ปลายจมูก
และให้พิจารณาเห็นอาการของเกิด-ดับของลมหายใจเข้า การเกิด-ดับของลมหายใจออก
หรือหากมีการเผลอคิด ก็ให้ระลึกรู้และให้พิจารณาอาการของการเกิด-ดับของความคิดนั้น
เป็นการเฝ้าดูและสังเกตการเกิด ดับ รวมทั้งเห็นว่าจิตเองก็มีการเกิด-ดับด้วย (การเห็นจิตในจิต) หากปฏิบัติไปจนเห็นลักษณะการเกิด-ดับ หรือเห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา โดยต้องเป็นการเห็นตามความเป็นจริง รู้จักรูป-นาม
จิตอยู่ในสภาวะที่รู้แบบที่เป็นปัญญา คือการรู้ชัด / รู้ทั่ว การพิจารณาอาการ
ดูการเกิด ดับ แบบนี้เรียกว่าเป็นการทำวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งการเห็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา นั้นจะเห็นได้จากการทำกรรมฐานเท่านั้น (สังเกต และ
วิปัสสนา-การดูการเห็นโดยแจ้ง / โดยประการต่างๆ / โดยแจ่มชัด)
หากเทียบกับอานาปานสติสูตร เป็นการปฏิบัติในขั้นที่ ๑๓
การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ฟังดูเหมือนง่ายว่าให้สังเกตที่ลักษณะการเปลี่ยนแปลงเป็นอารมณ์
ที่เป็นลักขณูปนิฌาน เมื่ออ่านไปที่บทสวดมนต์ของหนังสือสูตรหายใจ
ในบทของวิปัสสนาภูมิ นั้นเห็นว่าจะต้องพิจารณาในเรื่องดังนี้ คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ
๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
การมีสมาธิในระดับหนึ่ง (ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ) และอยู่ในสภาวะที่
"รู้" นั้นก็ถือเป็นจิตที่มีคุณภาพและพร้อมใช้งาน
ในแนวทางที่เรียกว่าวิปัสสนายานิก สามารถใช้สมาธิในขั้นนี้
ไม่ต้องถึงระดับที่เป็นฌาน ไปใช้ในการพิจารณาแบบวิปัสสนาได้เลย ท่านพระอาจารย์กล่าวถึง
วิปัสสนาลัดสั้นของหลวงพ่อพุทธทาส ที่ปฏิบัติตามพระสูตรจากขั้นที่
๓ ไป ยังขั้นที่ ๑๓ เลย
โดยเป็นการพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) (ตามตำรางานวิจัย"อานาปานสติภาวนา
ลำดับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า")
วิปัสสนาเป็นการพิจารณาลักษณะการเปลี่ยนแปลงเป็นอารมณ์เช่นการเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ
อาการเกิด ดับ ของลมหายใจ เป็นต้น (ลักขณูปนิฌาน วิปัสสนากรรมฐาน) ท่านพระอาจารย์แสดงให้เห็นความแตกต่าง
คือ การให้ดูที่ผืนผ้า และให้ดูอาการไหวของผืนผ้า ซึ่งเป็นคนละอย่างกัน
ในการปฏิบัติอานาปานสติในขั้นที่ ๓
นี้เป็นทางแยกที่สำคัญของผู้ปฏิบัติ ว่าจะไปทำเพื่อผลของสมาธิ ในการพักจิต
หรือจะก้าวข้ามไปในเรื่องของการชำระกิเลส
ท่านพระอาจารย์กล่าวถึงการเกิดวิปัสนูกิเลส
ถึงแม้จะถือว่าเป็นส่วนของความสำเร็จในการปฏิบัติแต่ก็ต้องก้าวข้ามไปให้ได้เช่นกัน
โดยใช้สติ พิจารณาเรื่องของความไม่เที่ยงอยู่ในขณะที่หายใจเข้า หายใจออก ในขั้นที่
๑๓
อุปสรรคอย่างหนึ่งของการทำสมาธิ
คือนิวรณ์ ๕ เป็นเครื่องกางกั้นจิตจากความจริง ทำให้ไม่ทำกุศล นิวรณ์ ๕ ประกอบด้วย
๑) กามฉันทะ - พอใจยินดีในกาม เปรียบได้กับน้ำมีสี ๒) พยาบาท - อาฆาต ปองร้าย
เปรียบได้กับน้ำเดือด ๓) ถีนมิทธะ - ง่วงเหงา ซึมเศร้า เปรียบได้กับน้ำมีจอกแหน ๔)
อุททธัจจกุกกุจจะ - ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ เปรียบได้กับน้ำมีระลอกคลื่น ๕) วิจิกิจฉา -
ความลังเล สงสัย เปรียบได้กับน้ำขุ่นในที่มืด ดังนั้น นิวรณ์จึงเป็นกิเลสที่กางกั้นไม่ให้เห็นน้ำตามความเป็นจริง
หรือคือเป็นจิตที่บริสุทธิ์เห็นความจริงตามความเป็นจริง องค์ฌานทั้ง ๕
นั้นเป็นปฏิปักษ์กับนิวรณ์ ๕ ซึ่งทำให้ใช้องค์ฌานนั้นแก้ไขนิวรณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นคู่ๆ
ดังนี้ คือ ๑) วิตก แก้ไข ถีนมิทธะ ๒) วิจาร แก้ไข
วิจิกิจฉา ๓) ปิติ แก้ไข พยาบาท ๔) สุข แก้ไข อุทธัจจะกุกกุจจะ และ ๕) เอกัคคคตา
แก้ไข กามฉันทะ
การเกิด"ปัญญา"
การเห็นไตรลักษณ์ด้วยปัญญาจะเป็น การดูการเห็นโดยแจ้ง / โดยประการต่างๆ / โดยแจ่มชัด ถึงอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา จิต (ขั้น ๑๓ ตามพระสูตรอานาปานสติ) จะเห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเที่ยง
ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย (นิพพิทา) ความจางคลาย และการคลายกำหนัด นำไปสู่การเลิก
(นิโรธา) และการสลัดคืน (ปฏินิคสัคคา) ในขั้นที่ ๑๖ - ขั้นนี้เป็นช่วงของการชำระกิเลสต่างๆ เช่น กิเลส อย่างหยาบ อย่างละเอียด
อนุสัย ซึ่งเป็นประเภทที่ ๔ ของสมาธิ เพื่อให้ผลในการชำระกิเลส – ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆ นะ ต้องอยู่ในกรรมฐานเท่านั้น
จึงจะเห็นไตรลักษณ์ได้ และเป็นการรู้ตามความเป็นจริง องค์อริยมรรคทั้งแปด
ต้องมีความถึงพร้อม
ตามภาพนั้นจิตจะเริ่มเข้าสู่กระแสของนิพพาน มีนิพพานเป็นอารมณ์
ผลที่เกิดขึ้นจิตของผู้ปฏิบัติจะถูกฝึกจนเป็นไปตามลำดับขั้นของจิตในของโลกุตรจิต
(ตามอภิธรรม) ในขั้นต่างๆ ของพระอริยะ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
อนาคามีมรรค อนาคามีผล สกทาคามีมรรค สกทาคามีผล จนถึงพระอรหันต์มรรค อรหันต์ผล
ถือเป็นการหลุดพ้นไม่กลับมาเกิดอีก
การปฏิบัติในแต่ละขั้น เป็นการชำระกิเลสอย่างไร
การฝึกโดยให้ “มีสติ ประคับประคองจิต ให้กลับมาระลึกรู้
ลมหายใจที่ปลายจมูก” ในขณะที่นั่งสมาธิ และเน้นการนั่งหลังตรง
มีกล่องไม่ขีดไฟเป็นพี่เลี้ยงนั้น เป็นการเน้นการสร้างพื้นฐานการฝึกสมาธิให้แข็งแรงเป็นสำคัญ
เช่นการฝึกเดินจงกรมโดยให้ “มีสติ ประคับประคองจิต ให้กลับมาระลึกรู้
เท้าที่สัมผัสกับพื้น” นั้นเป็นสร้างวินัยการฝึกสติให้มีความมั่นคง แข็งแรง
ซึ่งจะไปสู่การสร้างสัมปชัญญะให้เกิดขึ้น และมีความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งนี้ก็อยู่บนหลักการที่ว่า สัญญาที่มั่นคง เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ และ
สติก็เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสัญญาที่มั่นคง เช่นเดียวกัน ดังนั้น
การฝึกจึงเป็นการปฏิบัติที่ต้องทำบ่อยๆ เสมอๆ เพื่อให้เกิดสัญญาที่มั่นคง
หลักการนี้ท่านพระอาจารย์ได้เน้นย้ำมาก ในเรื่องการฝึกสติพื้นฐานให้แข็งแรง คมกล้า
ก่อนที่จะเข้าไปสู่การฝึกวิปัสสนาในขั้นต่อไป
ในขณะที่การฝึกสติสามารถทำได้ทั้งการนั่งสมาธิและการเดินจงกรม ที่ให้ต้องคอยกำกับจิต
ไว้ด้วยสติหรือการระลึกรู้ตัว
การปฏิบัติ
ผู้เขียนเข้าใจการฝึกจะต้องเป็นไปในแนวทางการของการเจริญ ซึ่งต้องประกอบไปด้วยองค์
๘ ของอริยมรรค โดยต้องเริ่มมาจากมี สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง สัมมาสังกับโป
ความดำริชอบ (เป็นส่วนของปัญญา) สัมมาวาจา วาจาชอบ สัมมากัมมันโต
การปฏิบัติชอบ สัมมาอาชีโว การเลี้ยงชีพชอบ (เป็นส่วนของศีล) และ สัมมาวายามะ
ความเพียรชอบ สัมมาสติ สติชอบ สัมมาสมาธิ (เป็นส่วนของสมาธิ)
การเจริญสมาธิให้มาก ซึ่งหากเจริญให้มากจนถึงรอบพร้อมกับการเจริญมรรคในข้ออื่นๆ
ก็จะนำไปสู่วิชชาและวิมุตติได้
ในการพิจารณาโดยการปฏิบัติปัสสนาในที่
๑๓ นั้น เป็นการพิจารณาในเรื่องของความไม่เที่ยง ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นต้น
ต้องการฝึกจนรู้เห็น อย่างแจ่มแจ้ง / พิเศษ / ประการต่างๆ ด้วยปัญญา คือการรู้ทั่ว
/ รู้ถึง /รู้ก่อน จึงจะเป็นวิปัสสนา และในขณะที่มีสติและสัมปชัญญะ (โคจรสัมปชัญญะ
และอสัมโมหะสัมปชัญญะ) นั้นจะทำให้เป็นการเริ่มชำระกิเลสให้ลดน้อยลงได้
โดยใช้กิจของสติ (หิงสายัง) ในการเบียดเบียนอกุศล การมีทั้งโคจรสัมปชัญญะ
คือการรู้ที่เที่ยวไปของจิตและการกลับที่ตั้งของจิต และที่สำคัญคืออสัมโมหะสัมปชัญญะ
คือความไม่หลงพร้อม การรู้เหตุตัวเดิมตามจริง ในรูปนามขันธ์ ๕ ธาตุ ๑๘ อายตยะ ๑๒
อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ว่าเป็นของเที่ยง ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา
วิชชาและวิมุตติ
ทำไมเราถึงเกิดมา เพราะอวิชชาทำให้มีการเกิด เกิดแล้วก็ต้องมีการตาย ตายแล้วก็มีการเกิดอีก แล้วก็ ตาย แล้ว ก็เกิดอีก ไม่รู้จบสิ้น เป็นวงวัฏฏะสงสาร ตามกฎเหตุปัจจัย "กฎอิทัปปจยตา" โดยมีเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดตาม "กฎปฏิจจสมุปบาท" ในเมื่ออวิชชาเป็นเหตุหนึ่งในวงจรปฏิจจสมุปบาท หากเราสามารถปฏิบัติจนเกิดมีวิชชา หรือการรู้เห็นตามความเป็นจริงตามธรรมนั้น อวิชชาก็จะหายไป ตรงนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการมีวิมุตติ คือการหลุดพ้น การพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงได้ก็ต้องมาจากการทำกรรมฐานเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียด ปราณีต ลึกซึ้ง ต้องใช้ปัญญาในการเห็น อานาปานสติมีความสำคัญและมีลักษณะเด่นตามที่ระบุอ้างอิง ๒ ท่านพระอาจารย์ได้เมตตานำพาปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้มีเครื่องมือและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ตรงทาง เพื่อให้เราได้สามารถนำไปปฏิบัติกันเองได้ต่อไป ดังนั้นการปฏิบัติในขั้นตอนต่างๆ เป็นลำดับตามพระสูตร ไปจนถึงที่ว่า “อานาปานสติ อันบุคคลเจริญให้มากแล้ว ย่อมทำสติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐานทั้งสี่อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้ว ย่อมทำโภชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์ โภชฌงค์ทั้งเจ็ดอันบุคคลเจริญทำให้มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์” อานาปานสติจึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
พระสูตรสำคัญที่ส่งเสริมการปฏิบัติอานาปานสติ
เป็นธรรมที่ทำให้ตรัสรู้ได้เร็ว
๑. สุตตสูตร (๑.
ธุระน้อย ๒. อาหารน้อย ๓. นอนน้อย ๔. สุตตะมาก และ ๕. พิจารณาจิตที่พ้นจากนิวรณ์)
๒. อรัญญสูตร (๑.
ธุระน้อย ๒. อาหารน้อย ๓. นอนน้อย ๔. เสพเสนาสนะป่า และ ๕.
พิจารณาจิตที่พ้นจากนิวรณ์)
๓. กถาสูตร (๑.
ธุระน้อย ๒. อาหารน้อย ๓. นอนน้อย ๔. กถาวัตถุ ๑๐*
และ ๕. พิจารณาจิตที่พ้นจากนิวรณ์)
* กถาวัตถุ
๑๐ เรื่องที่ควรพูดคุยสนทนากัน (๑. มักน้อย ๒. สันโดษ ๓. ปลีกวิเวก ๔. ไม่คลุกคลี ๕. ปรารภความเพียร ๖. ศีล
๗. สมาธิ ๘. ปัญญา ๙. วิมุตติ และ ๑๐. วิมุตติญาณทัสสนะ)
หมายเหตุผู้เขียน: ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฝึกสติ การทำสมาธิ นำไปสู่การเกิดขึ้นของปัญญานั้น เป็นเรื่องของการฝึกจิตล้วนๆ ชีวิตเราคือขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) หรืออย่างย่อ คือ รูป กับ นาม (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งก็เข้าใจง่ายๆ ก็คือ "ร่างกาย" กับ "จิตใจ" แรงบันดาลใจหรือผลพวงจากการเข้ารับการอบรมปฏิบัติอานาปานสติ กับพระอาจารย์ ทำให้สนใจที่จะเรียนรู้พระอภิธรรม เพื่อให้มีความเข้าใจในเรื่องของจิต และนำไปสู่การฝึกจิตแบบมีทิศทาง พอจะรู้เหนือ รู้ใต้ บ้าง พอได้หาหนังสือพระอภิธรรมแบบง่ายๆ มาอ่าน (หนังสือก็ได้มาจากวัดสุนันท์ฯ นั่นแหล่ะ) ก็รู้สึกสนุก เกิด ฉันทะในการเรียนรู้และปฏิบัติ พร้อมทั้งมีความเข้าใจเรื่องความเป็นไปของ "จิต" มากขึ้นมาก
จิต เจตสิก รูป นิพพาน (ปรมัตถธรรม ๔) คือ ความจริงสูงสุด - Ultimate
realities การศึกษาทำความเข้าใจความจริงสูงสุดของจิต เจตสิก รูป
และนิพพาน จะทำให้เราเข้าใจเรื่องการฝึกจิตมากขึ้น
จิตเป็น ธรรมชาติรู้ เป็นสภาพธรรมที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่ถูกรู้คืออารมณ์
จิตมี ๘๙/๑๒๑ ดวง เจตสิก เป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ถือว่าเป็นองค์ประกอบของจิต
มี ๕๒ ดวง (กุศล อกุศล กลางๆ) การประกอบของเจตสิกดวงต่างๆ นั้น ทำให้จิตทั้ง
๘๙/๑๒๑ ดวง นั้นมีความแตกต่างกันไป เหมือนกับว่าเจตสิกเป็นตัวยา
ส่วนจิตนั้นเป็นเม็ดยา จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน
ท้ายนี้
สรุปง่ายๆ จากการเข้าอบรมปฏิบัติธรรมอานาปานสติ นั้น พระอาจารย์ต้องการให้ผู้เข้าอบรมนั้นได้มีการฝึกสติให้เข้มแข็ง มีสัมปชัญญะ สามารถสร้างเหตุใหม่ สร้างสัญญาใหม่ให้ผู้เข้ารับการอบรม เพื่อนำไปสู่ผลใหม่ โดยที่เน้นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของการปฏิบัติธรรม พื้นฐานที่ถูกต้องของการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม และพื้นฐานของการฝึกพิจารณาใคร่ครวญธรรมแบบวิปัสสนา เพื่อเป็นบาทฐานที่สำคัญในการปฏิบัติอานาปานสติตามขั้นตอน ให้เป็นการเริ่มต้นที่เป็นความเห็นที่ตรง ถูกต้อง สามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ก่อนเข้ารับการอบรมนั้นได้มีการสร้างข้อตกลงว่า ให้ผู้เข้ารับการอบรมนั้นเปิดใจให้กว้างและว่าง พร้อมเรียนรู้รับสิ่งใหม่ๆ เพื่อบรรลุผลในการปฏิบัติ เพราะถ้ายังใช้สัญญาเดิมๆ เหตุแบบเดิม ก็จะได้ผลแบบเดิมๆ ก็คือ ไม่จำเป็นต้องมาเข้ารับอบรมในครั้งนี้ ผู้เขียนเองจะได้พึงระลึกข้อสั่งสอนนี้อยู่เสมอ ๆ เพื่อจะได้ไม่จมอยู่กับปลักของตัวเอง ... สาธุ สาธุ สาธุ ...
หากมีข้อผิดพลาด พลั้งเผลอ หรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ประการใดๆ
ก็ตาม ในข้อเขียนการสรุปความจากการอบรมปฏิบัติธรรมนี้ ผู้เขียนขอน้อมรับความผิดพลาดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
ขอกราบขอขมาและขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ด้วย ผู้เขียนพร้อมรับฟังเพื่อการแก้ไข
ปรับปรุงให้ถูกต้องยิ่งขึ้น แม้หากมี บุญกุศลใด ที่เกิดขึ้นจากการประมวลข้อธรรม
สรุปความในครั้งนี้ ผู้เขียนขอกราบน้อมถวายแด่พระอาจารย์มหาฟูกิจ ชุติปัญโญ
ผู้เมตตานำปฏิบัติธรรมอานาปานสติและถ่ายทอดความรู้ที่ลึกซึ้ง ขอให้ท่านพระอาจารย์มีธาตุขันธ์ที่สมบูรณ์
แข็งแรง เพื่อการปฏิบัติและเผยแผ่พระธรรม คำสั่งสอน
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดไป ตราบนานเท่านาน เทอญ...
@maleewongs ผู้บันทึก
อ้างอิง
๑) สมาธิมี ๔ ระบบ ตาม "พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) Phra Brahmagunabhorn (P. A. Payutto) หน้า ๑๔๒"
[184] สมาธิภาวนา
4 (การเจริญสมาธิ, วิธีฝึกสมาธิแบบต่างๆ
จําแนกตามวัตถุประสงค์ — Samàdhi-bhàvanà: ways or kinds of
concentration-development) 1. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร
(คือเพื่อการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เช่น ใช้ เป็นเครื่องพักผ่อนจิต
หาความสุขยามว่าง เป็นต้น — concentration-development that is conducive
to happy living in the present) 2. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อการได้ญาณทัสสนะ
(concentration-development that is conducive to the acquisition of
knowledge and insight) 3. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะ
(concentration-development that is conducive to mindfulness and full
comprehension) 4. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่ออาสวักขยะ
คือความสิ้นอาสวะ (concentration development that is conducive to the
destruction of cankers)
๒)
ความสำคัญและลักษณะเด่นของอานาปานสติ ตาม "อานาปานสติภาวนา ลำดับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า"
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระ ป.ธ.๙,M.A., Ph.D.) ตรวจชําระ
พระครปูลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์
รวบรวมและเรียบเรียง"
๑.
เป็นวิธีเจริญสมาธิที่ปฏิบัติได้สะดวก ทำได้ทุกสถานที่
ทุกเวลา ในทันทีที่ต้องการ เพราะใช้ลมหายใจเข้า-ออก
๒.
พอเริ่มลงมือปฏิบัติก็ได้รับผลทันที เพราะกายใจผ่อนคลายได้พัก
๓.
ไม่กระทบกระเทือนต่อสุขภาพ เพราะกายไม่บีบคั้น ใจย่อมหลุดพ้น
๔.
เป็นสมถกรรมฐานหนึ่งในจำนวนเพียง ๑๒
อย่างที่สามารถทำให้สำเร็จผลในด้านสมถะจนได้ขั้นสูงสุด คือจตุตถฌาน และส่งผลให้ถึง
อรูปฌาน
๕. ใช้ได้ทั้งในทางสมถะและวิปัสสนา
๖.
เป็นวิธีเจริญสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญและสนับสนุน
และพระพุทธองค์เองก็ได้ทรงใช้เป็นวิหารธรรมมากทั้งก่อนและหลังตรัสรู้
๗.
เป็นอนุสสติกรรมฐาน ๑ ใน ๓ อย่างที่เป็นประโยชน์แก่การเจริญวิปัสสนา คือ
อานาปานสติ
๓) อานาปานสติ ๑๖ ขั้น (ย่อความจากอานาปานสติสูตร) เป็นได้ทั้งสมถะกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อทำให้มากแล้วมีอาสงส์ใหญ่ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์
เมื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้มากแล้ว ย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ เมื่อเจริญโพชฌงค์
๗ ให้มากแล้วย่อมทำให้วิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ และเป็นขั้นตอนที่เป็นไปตามไตรสิกขา
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ขั้นที่ ๑ – ขั้นที่ ๔ (หมวดกาย-กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
เป็นการฝึกให้รู้จักว่าลมหายใจเข้า-ออก นั้นมีผลต่อการกำกับร่างกายให้สงบระงับ
และใช้สติในการฝึกจิตให้อยู่ในสภาวะที่รู้อย่างต่อเนื่องจนเป็นสมาธิ
(ผลน่าจะเป็นการรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างอัตโนมัติ)
ขั้นที่ ๑ ให้สังเกตลมหายใจเข้ายาว
ออกยาว จนรู้จักลมและรู้สึกตัวทั่วถึง (มีสติระลึกรู้) สติ วิตก วิจาร
ขั้นที่ ๒ ให้สังเกตลมหายใจเข้าสั้น
ออกสั้น จนรู้จักลมและรู้สึกตัวทั่วถึง (มีสติระลึกรู้) สติ วิตก วิจาร
ขั้นที่ ๓ ให้รู้พร้อมเฉพาะกายทั้งปวง
ขณะหายใจเข้า หายใจออก (กายลมและกายเนื้อ) (มีสติระลึกรู้
และเริ่มเข้าสู่ภาวะรู้ต่อเนื่อง เป็นสมาธิ ระดับขณิกสมาธิ/สมาธิชั่วขณะ) สติ วิตก
วิจาร เอกัคคตา
ขั้นที่ ๔ กายสังขารรำงับ
ขณะหายใจเข้า หายใจออก (มีสติระลึกรู้ เป็นภาวะรู้ต่อเนื่องเป็นสมาธิขั้นสูง
ขั้นที่เรียกว่าฌาน (ระดับอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ) สติ วิตก วิจาร ปิติ สุข
เอกัคคตา
ขั้นที่
๔ – ขั้นที่ ๘ (หมวดเวทนา-เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน) จิตอยู่ในภาวะรู้ต่อเนื่อง
เป็นสมาธิขั้นสูงระดับฌานที่ประกอบด้วยองค์ฌาน วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ขั้นที่ ๕ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ ขณะหายใจเข้า
หายใจออก (สติ ปิติ)
ขั้นที่ ๖ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข
ขณะหายใจเข้า หายใจออก (สติ สุข-เวทนา)
ขั้นที่ ๗ รู้พร้อมเฉพาะจิตตสังขาร
ขณะหายใจเข้า หายใจออก (มีปัญญาเกิดรู้การปรุงแต่งของจิต การแยกของกายและจิต) (สติ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปัญญา)
ขั้นที่ ๘ ทำจิตตสังขารให้รำงับ
ขณะหายใจเข้า หายใจออก (ระงับการปรุงแต่งของจิต)
ขั้นที่ ๙ – ขั้นที่ ๑๒
(หมวดจิต-จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
ขั้นที่ ๙ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต
ขั้นที่ ๑๐ จิตปราโมทย์ (กระตือ รือล้น
ปราโมทย์ ยินดี ในการศึกษาจิต)
ขั้นที่ ๑๑ จิตตั้งมั่น
ขั้นที่ ๑๒ จิตปล่อยอยู่ (เปลื้องจิต –
เอาจิตออกจากเจตสิก เรื่องใดเรื่องหนึ่ง)
ขั้นที่ ๑๓ – ขั้นที่ ๑๖ (หมวดธรรม-ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
ขั้นที่ ๑๓ เห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ
ขั้นที่ ๑๔ เห็นความจางคลาย
ขั้นที่ ๑๕ เห็นความดับไม่เหลือ
ขั้นที่ ๑๖ เห็นความสลัดคืน
๔)
การถอดความหมายคำศัพท์ภาษาบาลีที่เกี่ยวข้องกับการอบรมปฏิบัติธรรม
โดยท่านพระอาจารย์
สติ
สติ (สะ-ติ) : ความระลึกรู้ คำนี้มาจาก สร
ธาตุ +
ติ ปัจจัย
สร ธาตุ มีความหมาย
๒ อรรถ ดังนี้
๑)
สร สรเณ
ในการระลึกรู้ (การระลึกรู้ใน กาย เวทนา จิต ธรรม หรือที่เรียกว่า สติปัฏฐาน ๔)
๒)
สร หิงสายัง
(เป็นกิจของสติ) ในการเบียดเบียน (การเบียดเบียนอกุศล) สติจะไม่เกิดร่วมกับอกุศล
สร ธาตุ
มีความหมายตามคำพ้อง ๓ คำ ดังนี้
๑)
ศร
(พ้องคำภาษาสันสฤต) หรือเรียกว่า ลูกศร - ลูกศรที่ดีจะต้องมีความแหลม คม แม่นยำ
เร็ว ตรงเป้าหมาย กำหนดทิศทางได้
๒)
สระ (น้ำ) -
สระน้ำที่ดีควรจะมีน้ำเต็ม เย็น สะอาด กว้างใหญ่ มีชีวิต ใช้ประโยชน์ได้
๓)
สระ -
ยังให้เป็นไป ความหมายในข้อคือ การยังให้กุศลเป็นไป
(เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ให้พยัญชนะเป็นไป คือให้ออกเสียงได้)
สมาธิ
สมาธิ : ทรงไว้ด้วยดี ทรงไว้สม่ำเสมอ คำนี้มาจาก สํ บทหน้า +
อา บทหน้า + ธา ธาตุ + อิ ปัจจัย
สํ มีความหมาย ๒ อรรถ คือ
สมํ สม่ำเสมอ
สัมมา ด้วยดี
ธา ธารเณ
ในการทรงไว้
ธรรมชาติใด ทรงไว้ด้วยดี สม่ำเสมอ ธรรมชาตินั้นเรียกว่า สมาธิ
จงกรม
จงกรม : การก้าวเท้าและก้าวเท้า คำนี้มาจาก กมุ (ธาตุ) + กมุ (ธาตุ) + รมฺน (บทหลัง)
ตัด
มุ ท้ายธาตุ -> แปลง ก ตัวแรกเป็น จ ->
ลง นิคหิต อาคม แล้วแปลงเป็น ง
การเดินจงกรมจึงหมายถึงการก้าวเท้าและก้าวเท้า
โดยอรรถของคำภาษาบาลี การเดินจงกรมไม่มีกำหนดระยะทาง ไม่มีท่าทาง รูปแบบ
หรือคำบริกรรม โดยท่านพระอาจารย์เน้นในเรื่องของการเดินจงกรม เพื่อประโยชน์ในการสร้างสติคือการระลึกรู้
ให้เข้มแข็ง คมกล้า และเป็นบาทฐานไปสู่การทำสมาธิได้ด้วย โดยทุกครั้งที่เดินแล้วมีการเผลอคิด
สติไม่ตั้งมั่นอยู่เท้าที่สัมผัสกับพื้น ก็ให้มีสติ ประคับประคองจิต
ให้กลับมาระลึกรู้ เท้าที่สัมผัสกับพื้น
ทั้งนี้การเดินจงกรมโดยการก้าวเท้าและก้าวเท้าอย่างมีสติแบบนี้
เป็นการเดินที่เน้นให้นำไปใช้ฝึก
ในการเดินปกติในชีวิตประจำวันเพื่อเป็นการฝึกสติไปด้วย
ปฏิบัติ
ปฏิบัติ :
ไปเฉพาะ รู้เฉพาะ ถึงเฉพาะ บรรลุเฉพาะ
มาจากคำว่า ปฏิ บทหน้า เฉพาะ + ปท ธาตุ ไป,รู้,ถึง,บรรลุ + ติ บทหลัง
การปฏิบัติธรรม
จึงหมายถึง ไปเฉพาะธรรม รู้เฉพาะธรรม ถึงเฉพาะธรรม บรรลุเฉพาะธรรม
เป็นการรับมือกับความจริง (ธรรม) ด้วยปัญญา (รู้เฉพาะ) เพื่อออกจากทุกข์
(ด้วยการเห็นสภาวะของรูปนามตามเป็นจริงว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ไม่ใช่รูปแบบพิธีการที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า
เป็นการไปวัด ใส่ชุดขาว สวดมนต์ นั่งสมาธิ
แต่เป็นการไปนำธรรมเข้ามาน้อมใส่ตัวเป็นการเฉพาะ จนถึงการรู้เฉพาะ การถึงเฉพาะ
และการบรรลุเฉพาะในธรรม นั้นๆ
ภาวนา
ภาวนา : ทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น
คำนี้มาจาก ภู สัตตายัง ในความมีความเป็น + เณ ทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น
+ ยุ ปัจจัย
ภาวนาจึงมีความหมายว่า
การทำให้เกิดขึ้น ทำให้มีขึ้น จากการที่ไม่เคยมี เป็นการมีขึ้น หรือการที่มีอยู่ก่อนแล้วทำให้มีเพิ่มขึ้น
เช่น จาก -๑ เป็น ๐ จาก ๐ เป็น ๑ จาก ๑ เป็น ๒
(หากใช้คำว่าพัฒนาจะหมายความว่ามีอยู่ก่อนแล้วทำให้เพิ่มขึ้น)






Comments
Post a Comment